วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การถ่ายภาพประเพณีและศิลปวัฒนธรรมไทย ตอนที่ 2

อะไรคือปัจจัยนำไปสู่ความสำเร็จที่แตกต่าง?

       มืออาชีพและมือสมัครเล่นที่จริงจังเท่านั้นที่ขยันออกแรงเพียรหาคำตอบข้อนี้ให้กับตัวเอง คำตอบกว้างๆ พอเป็นแนวทางให้นักถ่ายภาพทั่วไปได้นำไปขบตีหรือจำกัดวงความคิดให้แคบลงตามแนวทางการถ่ายภาพ หรือสไตล์การทำงานของตัวเองคือ
ความหาข้อมูลให้มากที่สุด

       ข้อมูลที่ว่าคือความเกี่ยวพันทั้งหมดต่อประเพณีหรือศิลปวัฒนธรรมที่ตั้งใจไปถ่าย การมีข้อมูลที่รอบด้านและรู้จักหยิบฉวยข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ มีส่วนอย่างมากที่จะช่วงป้องกัน “ความผิดผลาด” ที่มักเกิดขึ้นในภาพสนาม ข้อมูลเรื่องพิธีการ รูปแบบการจัดงาน กำหนดการ ทิศทาง ตำแหน่งที่เหมาะสม และแม้กระทั่งความผิดผลากที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ข้อมูลเหล่านี้เมื่อนำมาประมวลรวมกันจะช่วยให้นักถ่ายภาพมองเห็นภาพกว้างของพิธีการหรือกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นว่ามีลักษณะอย่างไร ทั้งยังสามารถนำข้อมูลมาใช้วางแผนการถ่ายภาพ ในภาพสนามได้เป็นอย่างดี



       นักถ่ายภาพที่ไม่หาข้อมูลหรือไม่มีการวางแผนใดๆ เลย คงไม่ใช่เรื่องผิด-ไม่ผิด เพียงแต่สิ่งที่พวกเขาต้องยอมรับคือ ลักษณะของกิจกรรมหรือพิธีการประเภทนี้ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบปี ดังนั้นหากต้องเผชิญกับความผิดผลาดในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่คาดเดาสถานะการณ์ได้และที่คาดไม่ถึงก็คือต้องทำใจยอมรับ หรือไม่ก็ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบไหลตามน้ำไปเรื่อยๆ จนจบเกม

กำหนดเป้าหมายให้ตัวเอง

       แม้คุณเป็นเพียงนักถ่ายภาพสมัครเล่นที่หวังจะบันทึกภาพเหตุการณ์งานประเพณีหรือกิจกรรมต่างๆ เหล่านั้นไวเพียงเพื่อความสุขส่วนตัวก็ควรจะตั้งเป้าหมายไว้เพราะ “เป้าหมายเปรียบเสมือนเข็มทิศนำทาง” มันทำให้เรารู้ว่าควรจะเดินไปในทิศทางใด และแม้ต้องเจอกับอุปสรรคในภาพสนามแบบที่ไม่ได้คาดคิดจนต้องออกนอกลู่นอกทางบ้าง แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้เรา “ไม่หลงทิศ” มีโอกาสที่จะกลับมาเดินบนเส้นทางเดิมเพื่อมุ่งเป้าหมายได้อีกครั้ง ไม่ใช่พอหลงกิจกรรมหรือคลาดกับพิธีการใหญ่ก็เลยพาลกดถ่ายอะไรต่อมิอะไรมาไม่รู้มั่วไปหมด กลับมาถึงบ้านเป็นอาทิตย์แล้วยังไล่เรียงเหตุการณ์ไม่ถูกว่าช่วงไหนเป็นช่วงไหน เมื่อถึงเวลานั้น ทุกคนจะได้ยินคำถามจากภายในใจของตัวเองคล้ายๆ กันว่า ถ่ายมาทำไม?

       “เป้าหมายที่ดีอาจไม่ใช้ชัยชนะหรือความสำเร็จเสมอไป บางครั้งประสบการณ์ที่พบเข้าโดยบังเอิญระหว่างทางอาจกลายเป็นความทรงจำที่น่าประทับใจมากกว่า”

เตรียมตัวให้พร้อม

       เมื่อข้อมูลครบถ้วน เป้าหมายชัดเจน สิ่งที่เหลือคงเป็นเรื่องของการเตรียมอุปกรณ์ลงกระเป๋ากล้องและเตรียมใจให้พร้อม อุปกรณ์ที่พร้อมไม่ได้หมายความว่านักถ่ายภาพที่สนใจการถ่ายภาพประเภทนี้จะต้องมีเลนส์ครบทุกช่วงตั้งแต่ซูปเปอไวด์ไปจนถึงซุปเปอร์เทเลโฟโต้ หรือพร้อมสรรพไปด้วยอุปกรณ์เสริมชนิดที่แบกชนไปแทบไม่หวาดไม่ไหว ข้อมูลและเป้าหมายที่ผ่านการสังเคราะห์มาดีแล้วจะเป็นสิ่งที่บอกคุณได้ว่าจะต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรไปบ้างสำหรับการถ่ายภาพประเพณีหรืองานสืบสานวัฒนธรรมในครั้งนั้น คงไม่จำเป็นต้องแบกเลนส์เทลโฟโต้ขนาดใหญ่กว่ากระบอกข้าวหลามหนองมนไปถ่ายงานวันไหลพัทยา(เทศการสงกรานต์ จังหวัดชลบุรี) และคงไม่จำเป็นเช่นกันที่จะเหน็บเลนส์มาโครไปเก็บภาพพิธีเผาเทียนเล่นไฟ(ประเพณีลอยกระทง จังหวัดสุโขทัย) นอกเสียจากคุณอย่างได้ภาพพิเศษจากจินตนาการอันเป็นส่วนตัวจริงๆ



       การขนอุปกรณ์ไปเต็มพิกัดไม่ได้บ่งบอกถึงความพร้อมของนักถ่ายภาพเสมอไป เพราะอุปกรณ์ที่เกินความจำเป็นจะกลายเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงสำหรับการทำงานในภาพสนามที่ต้องการความคล้องตัวสูง ความพร้อมของอุปกรณ์หมายถึง การครอบคลุมของระยะทางยาวโฟกัสสำหรับมุมภาพในจินตนาการของนักถ่ายภาพ การครอบคลุมของอุปกรณ์สำหรับเทคนิคพิเศษในการบันทึกภาพ การครอบคลุมของอุปกรณ์หากเกิดการชำรุด ขัดข้อง หรือสูญหายของอุปกรณ์ชุดหลัก


       ความพร้อมของใจ อาจเป็นสิ่งที่ไม่ใคร่จำเป็นต้องเตรียมการอะไรมากนัก เพราะเมื่อมาถึงขั้นนี้เชื่อว่านักถ่ายภาพทั้งหลายคงแทบนับวันรอที่จะกระโจนหัวใจออกไปพร้อมๆ กับอุปกรณ์ถ่ายภาพของตัวเองอยู่แล้ว ความพร้องของจิตใจในแง่มุมสำหรับการแนะนำนี้จึงอาจมีเพียงบอกกล่าวให้ “เผื่อใจ” และ “เตรียมใจ” ไว้สำหรับความผิดหวัง ด้วยเพราะการทำงานกลางแจ้งในสภาวะที่ผู้เป็นนักถ่ายภาพไม่สามารถหรือไม่มีสิทธิ์ที่จะควบคุมปัจจัยหรือตัวแปร อันอาจเป็นเหตุของความผิดผลาดได้นั้น อะไรๆ ก็พร้อมที่จะเกิดขึ้นได้ทุกวินาที ไม่ว่าจะเป็นสภาพดินฟ้าอากาศที่แปรปรวน อุบัติเหตุ กำหนดการที่คลาดเคลื่อน การขัดข้องของอุปกรณ์ ตลอดจนสถานการณ์ที่สุดจะคาดเดาต่างๆ อีกมากมาย สิ่งหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาความกระวนกระวายใจและอาการสูญเสียความมั่นใจของนักถ่ายภาพได้เป็นอย่างดีคือ “สติ”  สติตั้งรับอยู่ภายในใจที่เตรียมพร้อมมาตั้งแต่แรก อุบัติเหตุหรือความผิดพลาดอาจเป็นสิ่งสุดวิสัยที่จะคาดเดาได้ แต่สติและจิตใจที่เตรียมพร้อมหาหนทางแก้ไขปัญหาอยู่เสมอเป็นสิ่งที่สามารถเตรียมการได้

Credits : ร้าน กระเป๋ากล้อง

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การถ่ายภาพประเพณีและศิลปวัฒนธรรมไทย ตอนที่ 1

การถ่ายภาพประเพณีและศิลปวัฒนธรรมไทย

       พจนานุกราไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒ บัญญัติความหมายของ “ประเพณี” ไว้ว่า “สิ่งที่นิยมถือประพฤติปฏิบัติสืบๆ กันมาจนเป็นแบบแผน ขนบธรรมเนียม หรือจารีตประเพณี” และพจนานุกรมฉบับเดียวกันยังได้สำแดงความหมายของ “วัฒนธรรม” ไว้ด้วยเช่นกันว่า “สิ่งที่ทำความเจริญงอกงามให้แก่หมู่คณะ เช่น วัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมในการแต่งกาย วิถีชีวิตของหมู่คณะ เช่น วัฒนธรรมพื้นบ้าน วัฒนธรรมชาวเขา

       นอกจากนี้สารานุกรมเสรีอย่างวิกีพีเดียยังได้ให้นิยามของคำว่าวัฒนธรรมในมุมมองที่แต่งต่างออกไป ทว่ากลับช่วยเสริมขยายความเข้าใจในเชิงบริบทของคำดังกล่าวได้แจ่มชัดยิ่งขึ้น ดังนี้ “วัฒนธรรม โดยทั่วไปหมายถึงรูปแบบของกิจกรรมมนุษย์และโครงสร้างเชิงสัญลักษณ์ที่ทำให้กิจกรรมนั้นเด่นชัดและมีความสำคัญ วิถีการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นประพฤติกรรมและสิ่งที่คนในหมู่ผลิตสร้างขึ้นด้วยการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และร่วมใช้อยู่ในหมู่พวกตน”



       ดังนั้นหากนิยามความในแง่ของ “การถ่ายภาพประเพณีและศิลปวัฒนธรรมไทย” จึงอาจหมายเอาได้ว่า “การบันทึกเรื่องราวอันเป็นแบบแผน ขนบธรรมเนียม หรือจารีตประเพณีอันดีงามของไทย ทั้งยังหมายรวมถึงภาพถ่ายที่สะท้อนความเจริญงอกงามของหมู่คณะหรือสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมโดยผ่านวิถีซึ่งสืบทอดติดต่อกันมา รูปแบบของวัฒนธรรมไทยสามารถแสดงออกได้หลากหลายวิธี ทั้งการสืบผ่านในเชิงชั้นทางวรรณกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม การดนตรี การละคร และภาพยนตร์ เป็นต้น”

       เป็นเรื่องที่เข้าใจโดยถ้วนทั่วว่าประเพณีและวัฒนธรรมไทยส่วนใหญ่ล้วนผูกติดอยู่กับศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธอันเป็นศาสนาของคนส่วนใหญ่ในชาติอย่างแนบแน่น งานประเพณีและงานสืบสารวัฒนธรรมตั้งแต่อดีตจวบกระทั้งปัจจุบันจึงจำเป็นต้องมีรูปแบบของพิธีกรรมทางศาสนาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเข้ามามีบทบาทอยู่เสมอ นั่นจึงทำให้วัฒนธรรมและประเพณีไทยในสายตาชาวต่างชาติมีความเป็นเอกลักษณ์ สะท้อนให้เห็นถึงความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของผู้คนในสังคม


       การบันทึกภาพแนวประเพณีและศิลปะวัฒนธรรมไทยจึงหาใช่เป็นเพียงแค่การบันทึกเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเท่านั้น แม้ผู้บันทึกจะเป็นเพียงนักถ่ายภาพระดับสมัครเล่นหรือนักท่องเที่ยวทั่วไปก็ตาม เพราะหากมองไกลทอดสายตายาวไปสู่อนาคต ภาพๆ หนึ่งที่บางคนเคยคิดว่าเป็นเพียงแค่ภาพธรรมดาอาจกลายมาเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญที่สามารถหยิบยกขึ้นมาอธิบายปรากฏการณ์ วิธีชีวิต ตลอดจนกระทั่งวัฒนธรรมตั้งแต่ระดับชุมชนไปจนถึงความเป็นชนชาติ ดังที่ภาพถ่ายธรรมดาๆ จำนวนมากในอดีตได้เปลี่ยนสถานะกลับมาแสดงบทบาทให้เป็นที่ประจักษ์อยู่ตามหอประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ทั้งในและนอกประเทศ



นอกจากความสวยงาม.. ภาพถ่ายแนวประเพณีและศิลปวัฒนธรรมไทยที่ดีควรตอบโจทย์เรื่องอะไรต่อผู้ชม?

       คำตอบง่ายๆ คล้ายกับการถ่ายภาพเชิงวิถีอื่นๆ คือ ภาพนั้นต้องแสดงให้ผู้ชมเข้าใจได้ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร

       แม้จะสามารถท่องจำให้ขึ้นใจได้ไม่ยาก ทว่าคำถาม ๕ ข้อนี้กลับเป็นโจทย์ที่ไม่ใช้ว่าใครจะตอบอกกมาได้ง่ายๆ เนื่องเพราะวิถีของกิจกรรมแนวประเพณีและวัฒนธรรมต่างๆ นั้นจำเป็นต้องเคลื่อนไหลไปตามกำหนดการอยู่ตลอดเวลาจวบกระทั่งสิ้นสุดพิธีกรรม ดังนั้นจังหวะที่จะแง้มอ้าเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ชมเป็นช่างภาพได้ครุ่นคิดและเพ่งหามุมภาพดีๆ ที่สามารถตอบคำถามได้ครบทั้ง ๕ ข้อจึงเป็นเรื่องยาก

credits : ร้าน กระเป๋ากล้อง

วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การถ่ายภาพ CONCERT ตอนที่ 7

ถ่ายต่อเนื่องเพื่อจับจังหวะที่ดีที่สุด

       ช่วงที่ศิลปินเคลื่อนไหวไปตามจังหวะเพลงอย่างเมามันจะเป็นช่วงที่โฟกัสภาพได้ยาก และไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าขณะที่ชัตเตอร์ทำงานจะได้ภาพในจังหวะดีหรือไม่ บางครั้งได้ภาพขณะหลับตา บางทีมีไมค์บังหน้า หรืออาจเป็นตอนที่หน้าตาเหยเก แนะนำให้ใช้ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบต่อเนื่องร่วมกับระบบบันทึกภาพต่อเนื่องความเร็วสูงเพื่อเก็บภาพในช่วงจังหวะดังกล่าว เมื่อวางตำแหน่งภาพได้และตัวศิลปินอยู่ในกรอบโฟกัสให้กดชัตเตอร์ค้างเพื่อบันทึกภาพต่อเนื่องเป็นชุดในช่วงจังหวะนั้นๆ แต่ถ้าหากมีการเต้นหรือวิ่งอย่างรวดเร็วก็จะกดชัดเตอร์ค้างนอนหน่อยให้ได้ภาพหลายๆ แอ็คชั่นเพื่อนำมาคัดเลือกภายหลัง วิธีนี้ทำให้เห็นว่าแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงเสี่ยววินาที ตำแหน่งต่างๆในภาพเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บางครั้งภาพที่ดูดีอยู่แล้วอาจมีภาพที่ดีกว่าเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในภาพ



ย้อนแสงไม่เรื่องต้องห้ามแต่น่าลอง

      ภาพถ่ายย้อนแสงช่วยเสริมสร้างอารมณ์ให้กับภาพได้ดีไม่เว้นแม้กับการถ่ายคอนเสิร์ตแสงแฟลร์ที่ฟุ้งเป็นดวงอาจเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับบางภาพ แต่หากคุณกำหนดให้มันอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมลงตัว บางทีมันก็ช่วยให้ภาพดูดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ถ่ายมุมเงยเพื่อเล่นกับแสงไฟ

       หากมีโอกาสได้เข้าไปถ่ายใกล้กับเวทีแสดง ลองแหงนกล้องขึ้นถ่ายมุมเงยดูบ้าง ในทุกเวทีคอนเสิร์ตต้องมีแผงไฟที่ตั้งตั้งอยู่ด้านบนเสมอ การก้มตัวลงแล้วเงยกล้องขึ้นจะทำให้คุณสามารถดึงเอาแสงสีของดวงไฟเข้ามาประกอบในภาพได้ จะใช้วิธีนี้เสมอเพื่อไม่ให้ภาพจืดชืดหรือมีแต่แบ็คกราวน์ดำมืด ข้อควรระวังคือ ไม่ควรก้มลงต่ำเกินไปหากว่าศิลปินที่กำลังแสดงเป็นผู้หญิงและนุ่งกระโปรงสั้น ระวังคนอื่นจะเข้าใจผิดคิดว่าคุณเป็นพวกโรคจิต ไม่ควรใช้เลนส์จำพวกซุปเปอร์ไวด์เข้าไปถ่ายในระยะประชิดแล้วเงยกล้องมากๆ สัดส่วนที่ผิดเพี้ยนเกินเหตุจะทำให้ภาพลู่เอียงและตัวศิลปินกลายเป็นมนุษย์ประหลาดขาใหญ่หัวลีบ



จับจังหวะให้ทันเหตุการณ์


      ช่างภาพที่ดีต้องเป็นคนช่างสังเกต ต้องเป็นพวงที่มือไวพอๆ กับสายตา ระหว่างที่เราเล็งภาพผ่านช่องมอง สายตาเราต้องทำงานหลายอย่าง ไม่เพียงต้องมองหามุมภาพองค์ประกอบที่สวยงามเท่านั้น ยังต้องคอยสังเกตสิ่งต่างๆ ที่กำลังดำเนินไปภายในกรอบที่ต้องการ เมื่อมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด นอกจากตาต้องไวแล้วนิ้วก็ต้องพร้อมจะลั่นชัตเตอร์ได้ทุกเมื่อ

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การถ่ายภาพ CONCERT ตอนที่ 6

ระบบวัดแสง

       ระบบวัดแสงเฉพาะจุดดูจะเหมาะสมกับการถ่ายภาพคอนเสิร์ตมากที่สุด ด้วยสภาพแสงที่เน้นตัวศิลปินเป็นหลัก จนบางครั้งฉากหลังหรือพื้นที่ส่วนอื่นถูกปล่อยให้อยู่ในความมืด ระบบวัดแสงแบบเฉลี่ยจะให้ค่าที่โอเวอร์และหลอกให้เราใช้ความเร็วชัดเตอร์ต่ำกว่าที่ควร นอกจากทำให้ภาพได้รับแสงมากเกินแล้วยังทำให้เราเสี่ยงต่อการได้ภาพที่ไม่คมชัดด้วย แนะนำให้ใช้ระบบวัดแสงเฉพาะจุดเน้นค่าแสงไปที่ตัวศิลปินด้วยการซูมภาพให้ใกล้เข้ามาแล้วเล็งตำแหน่งไปที่ใบหน้า จะไม่วัดแสงอยู่ตลอดเวลา แต่จะวัดค่าแสงหลักและปรับตั้งกล้องไปตามช่วงจังหวะของแสง อย่างเช่น ในช่วงที่มีการเปิดไฟฟอลโลว์ที่ตัวศิลปิน ควรวัดแสงแล้วใช้ค่านี้ไปตลอดขณะถ่ายจะคอยสังเกตไปด้วยเมื่อมีการเปลี่ยนรูปแบบการให้แสงอย่างเช่น ช่วงไฮไลท์ของเพลงหรือช่วงที่เป็นเพลงจังหวะสนุกที่มักเปิดแสงสีมากเป็นพิเศษ ควรจะวัดแสงใหม่และใช้ค่านี้ไปจนจบช่วง วิธีนี้ทำให้ไม่ต้องคอยพะวงกับการวัดแสงอยู่ตลอดและมีเวลามากพอที่จะให้ความสำคัญกับการโฟกัสภาพและจัดองค์ประกอบ



       ถ้ากล้องที่คุณใช้ไม่มีระบบวัดแสงแบบจุดก็ไม่ต้องคิดมาก ใช้แบบเฉลี่ยที่เน้นบริเวณจุดโฟกัสแล้วลองถ่ายทดสอบดูในช่วงแรก ตรวจสอบภาพที่ได้บนจอ LCD และปรับแก้ให้ได้ค่าที่เหมาะสมที่สุด แล้วใช้ค่านั้นเป็นหลัก คอยสังเกตและปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแสงแต่ละช่วง แต่ไม่ต้องถึงกับต้องวัดแสงตลอดทุกภาพ แบ่งเวลาไปเหนื่อยกับการโฟกัสภาพและหามุมงามๆ ดีกว่า

หน้าเวทีใช้ว่าจะดีเสมอไป

      ทำเลทองที่ช่างภาพคอนเสิร์ตส่วนใหญ่แย่งกันจับจองมักจะเป็นด้านหน้าเวที มันช่วยให้ช่างภาพที่ขี้เกียจเดินไปมาสามารถเก็บภาพได้อย่างไม่ต้องเหนื่อย ไม่ว่าตัวศิลปินจะอยู่ตำแหน่งไหน หากคุณอยู่บริเวณด้านหน้าของเวทีก็สามารถเก็บภาพได้ด้วยการหันกล้องตาม แต่มีดีก็ต้องมีเสีย ปัญหาของมุมหน้าเวทีที่ต้องพบอยู่เสมอนั้นคือมือที่ถือไมค์ของนักร้องมักจะบังหน้าตัวเอง รวมไปถึงเงาที่พาดตกบริเวณปาก คาง และคอ มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ทางเดียวที่ทำได้คือต้องรอจังหวะที่นักร้องเอียงหน้าหรือหันข้าง


วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การถ่ายภาพ CONCERT ตอนที่ 5

ไวท์บาลานซ์อย่างไรดี

       เป็นเรื่องยากหากจะให้กำหนดว่าควรใช้ระบบไวท์บาลานซ์แบบไหน แสงสีในแต่ละคอนเสิร์ตจะแตกต่างหลากหลายมาก แต่โดยรวมถ้าใช้โหมดออโต้ไวท์บาลานซ์ผิวคนจะออกสีส้มแดงเป็นส่วนใหญ่ อาจจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละคอนเสิร์ต ถ้าตั้งใจถ่ายด้วย RAW File แล้วปรับแต่งภายหลังก็อาจะม่ต้องคิดมาก หรือใช้โหมดออโต้ได้เลย แต่บางงานถ้าต้องมานั่งปรับแก้สีเป็นร้อยภาพก็คงเหนื่อยไม่น้อย ถ้าคิดจะถ่ายด้วยไฟล์ JPEG โดยไม่ต้องมาปรับแต่งอีก คงต้องลองถ่ายในช่วงต้นคอนเสิร์ตแล้วเช็คจากจอ LCD ดูและปรับแต่งให้ได้ค่าที่ถูกใจ โดยผมแนะนำว่าถ้าใช้ค่าไวล์บาลานซ์ในช่วง 3000-4000 องศาเคลวินจะได้สีผิวคนที่ดูเป็นธรรมชาติกว่า แต่จะลดความร้อนแรงของแสงสีโทนเหลืองแดงไปพอสมควร



       อย่าลืมว่าการถ่ายภาพคอนเสิร์ตเป็นการเล่นกับแสงไฟ ฉะนั้นสีสันที่ผิดเพี้ยนไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องเสียหาย บางครั้งกลับเสริมอารมณ์ให้ภาพได้อย่างงดงาม ทั้งหมดขึ้นอยู่กับผู้ถ่ายเป็นหลักว่าต้องการให้ภาพออกมาแนวไหน ในช่วงแรกอาจต้องลองผิดลองถูกบ้างแต่ถ้าคุณให้ความสนใจกับมันอย่างจริงจังก็คงใช้เวลาไม่นานที่จะเรียนรู้

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การถ่ายภาพ CONCERT ตอนที่ 4

รูรับแสง ความเร็วชัตเตอร์ และ ISO

       สำหรับผมผมแนะนำให้ใช้เลนส์สว่างแต่ไม่แนะนำให้ใช้รูรับแสงกว้างสุด ส่วนใหญ่เมื่อได้ฟังก็มักจะมีคำถามย้อนกลับมาว่าแล้วจะเสียเงินซื้อเลนส์แพงๆ ทำไมถ้าไม่ต้องการใช้รูรับแสงกว้างสุด ขออธิบายอย่างนี้แล้วกันนะครับ เลนส์ที่มีขนาดรูรับแสงกว้างตั้งแต่ F2.8 ขึ้นไปจะให้ภาพที่ใสสว่าง ช่วยให้เซ็นเซอร์โฟกัสทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็วแม่นยำไม่มีอาการลังเล ส่วนใหญ่มีมอเตอร์ขับเคลื่อนชิ้นเลนส์สำหรับโฟกัสภาพอยู่ในตัว มันจึงได้เปรียบในเรื่องของการโฟกัสภาพ แต่ที่ไม่แนะนำให้ใช้ขนาดรูรับแสงกว้างสุดก็เนื่องจากโอกาสที่ภาพจะหลุดโฟกัสมีสูงมาก ยิ่งถ้าเป็นการถ่ายภาพแบบเน้นเฉพาะที่ตัวศิลปินด้วยช่วงเลนส์เทเลก็ยิ่งมีโอกาศพลาดสูง ถ้าเป็นการจัดถ่ายที่ตัวแบบโพสท่านิ่ง การจะใช้ขนาดรูรับแสงที่ F1.8 หรือ F2.8 ก็ไม่น่ามีปัญหา



       ถ้าคุณเลือกใช้ขนาดรูรับแสงที่แคบลงมาอย่าง F5.6 ช่วงระยะชัดในภาพจะมีมากขึ้น แต่ต้องแลกมาด้วยความเร็วชัตเตอร์ที่ต่ำลง หรือค่า ISO สูงขึ้น สำหรับคอนเสิร์ตใหญ่ที่ให้แสงสีเต็มพิกัด ที่รูรับแสง F5.6 ก็ยังพอจะใช้ความเร็วชัตเตอร์ขนาด 1/125 หรือ 1/250 วินาทีที่ ISO 800-1600 ได้ ถ้าเป็นพวกมินิคอนเสิร์ตที่ประหยัดแสงสีขนาดรูรับแสง F5.6 ดูจะแคบเกินไปเพราะความเร็วชัตเตอร์อาจเหลือต่ำเพียง 1/30 หรือ 1/60 วินาที ซึ่งเสี่ยงต่อการให้ภาพเบลอ แต่ถ้าหากคุณใช้กล้องระดับโปรที่สามารถถ่ายด้วยค่า ISO 3200 แล้วยังให้คุณภาพไฟล์ที่ดีก็ไม่ต้องคิดมากครับ

       ระหว่างการแสดงควรหมั่นสังเกตุรูปแบบการให้แสงในแต่ละช่วงด้วย ซึ่งโดยมากจะอิงกับจังหวะอารมณ์ของเพลง เพลงเศร้าเพลงช้าส่วนใหญ่จะใช้ไฟฟอลโลว์ที่ตัวศิลปินเป็นหลักเสริมด้วยแสงสีสลับไปมาอย่างช้าๆ การโฟกัสภาพและการวัดแสงจะทำได้ง่าย รวมไปถึงมีเวลาจัดองค์ประกอบได้อย่างไม่รีบร้อน แสงสีจะถูกปล่อยอย่างเต็มที่ในช่วงพีคสุดของอารมณ์ ถ้าคุณรู้จักเนื้อเพลงและร้องตามได้ คุณก็พอจะเดาออกว่าเป็นช่วงไหน จังหวะนี้ควรเก็บเกี่ยวภาพให้ได้มากที่สุดเพราะเป็นโอกาศที่เราจะเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์ได้สูงขึ้น หรือจะเลือกใช้ความไวแสงให้ต่ำลงเพื่อให้ได้คุณภาพไฟล์ที่ดี และที่สำคัญมันเป็นช่วงที่มีสีสันสวยงาม

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การถ่ายภาพ CONCERT ตอนที่ 3

ใช้เลนส์อะไรดี

       แนะนำว่าควรใช้เลนส์ค่อนข้งสว่างและโฟกัสได้รวดเร็ว ความเห็นส่วนตัวผมให้ความสำคัญกับประเด็นหลังมากกว่า เลนส์สว่างจำพวก F1.4, F1.8 ช่วยให้มองเห็นภาพในช่องมองได้อย่างชัดเจน แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้ามันโฟกัสได้ช้ามาก ส่วนตัวแล้วผมเลือกใช้เลนส์ซูมที่มีขนาดรูรับแสง F2.8 เป็นซูมไวด์ชนาด 17-55mm หนึ่งตัวและเทเลซูมขนาด 70-200mm อีกหนึ่งตัว เลนส์เดี่ยวไวแสงอาจเหมาะกับคอนเสิร์ตที่ศิลปินนั่งหรือยืนร้องอยู่กับที่ แต่ไม่เหมาะกับคอนเสิร์ตร้องเต้นที่ใช้พื้นที่เวทีขนาดใหญ่ มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ขนาดทางยาวโฟกัสที่ตายตัวทำให้การจัดองค์ประกอบทำได้ยาก รูรับแสงที่กว้างมากช่วยเพิ่มความเร็วชัตเตอร์ให้ไวขึ้น แต่ช่วงโฟกัสเพียงน้อยนิดก็ทำให้มีโอกาศพลาดสูงมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อต้องถ่ายร็อคหรือแดนซ์คอนเสิร์ตที่ศิลปินทั้งร้อยทั้งเต้นกระโดดพล่านไปมาทั่วเวที



       เลนส์ซูมไวแสง F2.8 ความสว่างของเลนส์ระดับนี้เพียงพอที่จะทำให้กล้องหาโฟกัสได้รวดเร็วแม่นยำ และการที่ทางยาวโฟกัสปรับเปลี่ยนได้ มันจึงช่วยให้จัดองค์ประกอบได้หลากหลายกว่า แน่นอนว่าเลนส์กลุ่มนี้มีราคาสูงพอควรแต่มันก็ช่วยเพิ่มโอกาศได้ภาพดีดีขึ้นอีกมาก เลนส์ซูม F4 ถ้าเป็นช่วงเลนส์ไวด์ยังถือว่าใช้งานได้ดีมุมภาพที่กว้างช่วยให้การโฟกัสภาพด้วยระบบออโต้ไม่เป็นปัญหามาก แต่ถ้าเป็นเลนส์เทเลซูมอย่าง 70-300 F4-5.6 คุณจะรู้สึกหงุดหงิดกับอาการวืดวาดไปมาของระบบโฟกัส และอาจต้องรอถ่ายในจังหวะที่แสงบนเวลีสว่างมากพอ

       กล้องและเลนส์เพียงตัวเดียวจะให้ความคล่องตัวสูงเมื่อต้องเบียดกับผู้คนจำนวนมาก แต่มันก็ทำให้คุณต้องตัดสินใจว่าควรใช้เลนส์ตัวไหนดี เลนส์เทเลซูมช่วง 70-200mm หรือ 80-200mm ช่วยให้คุณเก็บภาพศิลปินได้อย่างใกล้ชิด จับอารมณ์ภาพได้จะแจ้ง ขณะที่เลนส์ซูมไวด์ช่วง 16-35mm, 17-40mm หรือ 17-55mm เก็บบรรยากาศแสงสีความยิ่งใหญ่ของเวทีคอนเสิร์ตได้ดีกว่า เลนส์ฟิชอายให้มุมมองแปลกน่าตื่นตาตื่นใจแต่ก็เหมาะกับการถ่ายในระยะประชิด ถ้าเลือกไม่ได้และจำเป็นต้องพกเลนส์มากกว่าหนึ่งตัวแนะนำให้ใช้กระเป๋ากล้องแบบคอดเอว หรือซองใส่เลนส์จำพวก Lens Pouch ไม่แนะนำให้สะพายกระเป๋ากล้อง เพราะมันจะเหนี่ยวรั้งทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก